เทศน์เช้า

อัปปนาสมาธิ

๑๖ ธ.ค. ๒๕๔๓

 

อัปปนาสมาธิ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เขามาถามว่า “ถ้าได้อานาปานสติแล้วนี่ จะพิจารณาได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ไหม?” พิจารณาได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์หมายถึงว่าได้อานาปานสติแล้ว ได้สมาธิแล้ว ความมั่นใจในเรื่องของผลอีก ๕๐ เปอร์เซ็นต์นี่จะเข้าถึงผลไหม?

นี่ความเข้าใจนะ ความเข้าใจเข้าใจอย่างนั้น แต่ความจริงอานาปานสตินี่ทำได้ยาก ทำได้แสนยากพอสมควร เพราะว่าดูสิ อย่างเราทำความสงบเข้ามานี่ เราไปเริ่มทำความสงบน่ะกว่าจะได้สงบ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ แล้วก็อัปปนาสมาธิ เห็นไหม อัปปนาสมาธินี่ แล้วจะยืนยันได้ไหมว่าเราเข้าไปถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของผลที่เราอยากได้ โสดาบัน สกิทา อนาคา จะได้ผลอย่างนั้นไหม นี่เป็นความคิด เป็นความคิดนะ

ถ้าเป็นการกระทำเข้ามานี่ถูกต้อง ในการทำขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิเข้าไปนี่ มันต้องทำเข้าไป มันเป็นพื้นฐานที่ว่ามันเป็นสัมมาสมาธิ การสอนอย่างนี้สอนตั้งแต่เริ่มต้นขึ้นมา แล้วมันมีความสุขเข้าไปนะ เราทำสมาธิเข้ามานี่จิตมันฟุ้งซ่าน จิตมันสงบเข้าไป ๆ ความสงบ เห็นไหม ความฟุ้งซ่านกับความสงบ ขาวกับดำไง

ความเป็นดำนี่ ความมืดดำมันเป็นมืดดำ แล้วมันสว่างขึ้นมา มันขาวขึ้นมา ๆ มันก็เป็นความสุขเข้าไป ถ้าว่าจะเป็นผลของการประพฤติปฏิบัติไหม? มันเป็นผลของการประพฤติปฏิบัติเริ่มต้น แต่ถ้าเป็นวิปัสสนานี่ อันนี้อาจจะติดด้วย ถึงว่าจะได้ผล ๕๐ เปอร์เซ็นต์ไหม เราไม่กล้าพูดว่าอาจจะเป็นฝ่ายลบอีกต่างหาก ถ้าพูดถึงว่าถ้าเขาไปติดตรงนี้ ไม่ใช่ว่าถ้าเข้าไปทำอัปปนาสมาธิแล้วมันจะเป็นการการันตีว่าเราจะวิปัสสนาได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะอะไร? เพราะว่าเวลามันสงบเข้าไปนี่ เราคิดว่าอันนี้เป็นผลไง

พอว่าอันนี้เป็นผล เห็นไหม มันไม่ยกขึ้นวิปัสสนา ทีนี้ถ้ายกวิปัสสนาหมายถึงว่า อันนี้เป็นผลได้อย่างไร เป็นผลเพราะเวลามันสงบเข้ามานี่ เวลามันปล่อยวางเข้ามา ๆ จากขณิกะ เห็นไหม ชั่วคราว อุปจาระนี่ อุปจาระเข้าไปเราไม่เห็น พอเห็นภาพขึ้นมานี่ พอจิตมันสงบเข้าไปแล้วเห็นภาพขึ้นมา ความเห็นอันนี้ เห็นไหม คิดว่าอันนี้มันเป็นการวิปัสสนาแล้ว แต่ความจริงแล้วมันเป็นนิมิตที่เราเห็นเฉย ๆ

นี่อุปจารสมาธิ จิตมันสงบเข้าไปแล้วมันเห็นสิ่งต่าง ๆ ออกไปเห็นเปรต เห็นผี เห็นเทวดาก็เหมือนกัน แม้แต่เห็นภาพกายนี้ก็เหมือนกัน นี้ก็เป็นอุปจารสมาธิ แต่มันจะจับตรงนี้เป็นวิปัสสนาได้ไหม ถ้าจับตรงนี้เป็นวิปัสสนาได้ นี่เป็นผลงาน นี่เป็นทางเริ่มต้น สิ่งที่ว่าจะเริ่มต้นเข้าไปว่าเป็นผลหรือไม่เป็นผล

แต่ถ้าเข้าเป็นอัปปนาสมาธินี่ จิตมันจะลึกกว่านั้นเข้าไป มันจะปล่อยวาง มันจะลึกเข้าไป แล้วมันจะปล่อยหมดเลย อันนั้นลึกเข้าไปจนไม่รู้สิ่งต่าง ๆ ทั้งสิ้น แต่มันก็ไม่ใช่รวมใหญ่ ถ้าเป็นรวมใหญ่เป็นอีกอย่างหนึ่ง รวมใหญ่หมายถึงว่ามันวิปัสสนาแล้วมันปล่อยวางเข้าไป หรือเข้าไปถึงน่ะ ถ้ารวมใหญ่นี่มันจะเห็นจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ความเป็นผ่องใสนี่ นี่สิ่งนี้ที่มันจะเป็นผลลบ ลบตรงที่ว่ามันติดในสมาธิไง ถ้ามันเป็นผลลบ เพราะเวลามันละเอียดเข้าไปนี่ มันผ่านตรงนี้เข้าไป พอผ่านเข้าไปมันว่าเป็นผล พอว่าเป็นผลมันก็จะติดเข้าไป ๆ ถ้ามันติดเป็นผลลบ

แต่ถ้ามันไม่ติดอันนี้จะว่าผิดไม่ได้ ถ้าเป็นผลลบทั้งหมดมันเป็นผลเข้ามา เพราะเวลามันปล่อยวางเข้ามานี่ ความสงบ เห็นไหม ความที่เราเข้าใจน่ะ เราสงบเราเข้าใจขึ้นมา นี่มันเข้าใจว่าเป็นผล มันติดมันติดตรงนั้น แล้วตรงนี้ก็เป็นผลในแง่บวกคือว่า ถ้าไม่มีตรงนี้ขึ้นมาเราจะวิปัสสนาเข้าไปได้อย่างไร เราจะมีความสุขในหัวใจเราอย่างไร จิตมันต้องมีความทุกข์ใช่ไหม แล้วมันปล่อยวางเข้ามา มันมีความสุขเข้ามา ๆ อันนี้เป็นสมาธิอบรมปัญญา

แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิล่ะ มันใช้ความคิดเลย ใช้ความคิดใคร่ครวญเลย ๆ แล้วมันปล่อยวางเข้ามา มันจะไม่มีอาการสงบแบบนี้ไง มันไม่เข้าอุปจารสมาธิ มันไม่เข้าถึงอัปปนาสมาธิ ถ้าเข้าถึงอัปปนาสมาธิมันมีความสุขมากกว่า มันการันตีว่าอันนี้เป็นผลมากกว่า มันถึงติดได้

แต่ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธินี่ มันใช้ความคิด เราคิดขึ้นมาแล้วเราตามความคิดเราทัน เห็นไหม พอเราตามความคิดเราทันมันก็จะปล่อยเข้ามา ๆ ความปล่อยเข้ามานี่มันจะไม่มีอาการดูดดื่มที่ว่าเป็นความสุขอันนี้ไง ความสุขอันนี้มันไม่ลึกขนาดนั้น แต่มันปล่อยวางเหมือนกัน ความสุขคือความเข้าใจ ความสุขในปัญญาอบรมสมาธินี่ มันเข้าใจแล้วมัน “อ๋อ” ความ อ๋อ นี่มันเข้าใจแล้วมันชัดเจนเข้าไปตลอด มันไม่มีความเข้าไปดูดดื่มว่า ลึก วาง ว่าง เวิ้งว้าง อย่างนั้นมันไม่มี เห็นไหม

ถึงว่ามันเป็นระหว่างจริตนิสัย มันจะเป็นการยืนยันกันไม่ได้ แต่เดิมนี่เราว่าศีล สมาธิ ปัญญา เพราะเราต้องการทำสมาธิให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาวิปัสสนา ทีนี้พอมันคิดตรงนั้นปั๊บ มันก็ทำเข้าไป ๆ แต่ถ้ามันทำไม่ได้ ถึงว่ามันมีอีกกรณีหนึ่ง กรณีที่ว่าปัญญาอบรมสมาธิไง

ถ้าปัญญาอบรมสมาธินี่ ใช้ปัญญาเข้าไป ๆ เวลามันขาดเข้าไป เวลามันขาดนะ เวลาวิปัสสนาเข้าไปเรื่อย ๆ นี่ มันจะปล่อยวางเข้าไป มันก็เป็นอุปจาระเหมือนกัน แต่มันจะไม่เห็นภาพไง ไม่เห็นภาพต่าง ๆ เว้นไว้แต่พอจิตมันสงบเข้าไปเรื่อย ๆ แล้วเรายกขึ้นมาอีกต่างหากมันถึงจะไปเห็นภาพ นี่มันก็เป็นอุปจารสมาธิ แต่การผิดพลาดในการหลงใหล ในการที่ว่าจับไม่ได้นี่ มันน้อยกว่า แต่ความสุขมันก็น้อยกว่า เห็นไหม ถ้าปัญญาอบรมสมาธินี่มันจะแน่นอนกว่าในการวิปัสสนา มันจะเข้าไปวิปัสสนาไปโดยธรรมชาติของมัน

แต่ถ้าเป็นสมาธิอบรมปัญญานี่ เวลามันเกิดสมาธิขึ้นมาแล้วมันจะติดในสมาธินั้น แล้วไม่เข้าใจว่าสมาธินั้นเป็นสมาธิ มันเข้าใจว่าสมาธินั้นเป็นผล พอสมาธิเป็นผล เห็นไหม มันไปติดตรงนั้น ถ้าไปติดตรงนี้ มันถึงต้องยกขึ้นวิปัสสนา ทั้ง ๒ ฝ่ายต้องยกขึ้นวิปัสสนา ยกขึ้นวิปัสสนาหมายถึงว่า เวลาเป็นอุปจารสมาธิแล้วออกมาใคร่ครวญไง ใคร่ครวญกาย เวทนา จิต ธรรม นี่กาย เวทนา จิต ธรรมจับต้องขึ้นมาแล้ววิปัสสนาเข้าไป

ถ้าวิปัสสนาได้แล้วนี่ อันนี้ต่างหากถึงบอกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ของการที่ว่าเราจะวิปัสสนาได้หรือไม่ได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เห็นไหม เพราะมันจับต้องได้แล้วมันเป็นงานขึ้นมา พอเป็นงานขึ้นมานี่วิปัสสนาเข้าไป ๆ วิปัสสนาหมายถึงว่า ถ้ามันไม่มีฐานของสมาธิ อัปปนาสมาธิหรือขณิก สมาธินั้น มันก็ไม่เป็นงาน มันเป็นโลกียะ

สิ่งที่เป็นโลกียะคือความนึกเอา อุปาทานแก้อุปาทานไง อุปาทานนี่มันเป็นไปด้วยกัน แต่ถ้ามันเป็นความสงบเข้ามานี่ มันไม่มีอุปาทานเพราะมันเป็นความสงบเข้ามา แต่ความสงบแล้วมันก็นอนตาย เห็นไหม สมาธินี้แก้กิเลสไม่ได้ เพราะสมาธิมันเสวยสุขของมัน เรายกขึ้นนี่ รำพึงยกขึ้น ความยกขึ้นแล้วพิจารณา ยกขึ้นให้เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม แล้ววิปัสสนา กาย เวทนา จิต ธรรมอันนั้น

นี่มันจะเห็นความแตกต่าง ความแตกต่างจากเราดูจากภายนอกกับความแตกต่างจากการเห็นจากภายใน ความเห็นจากภายในมันสะเทือนหัวใจเพราะมันสะเทือนถึงจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกที่เป็นอยู่นี้ มันสะเทือนถึงจิตใต้สำนึก เพราะอะไร? เพราะสมาธิตัวนั้นสำคัญมาก ที่ว่าเป็นอัปปนาสมาธินี่มันเป็นฐานของการงาน การงานชอบ งานความเพียรชอบ เห็นไหม ปัจจัตตังรู้จำเพาะตน หัวใจดวงไหนก็แล้วแต่มันสะเทือนหัวใจดวงนั้น ต้องหัวใจดวงนั้นเป็นคนเห็นไง

ความสกปรกของใครคนนั้นต้องชำระล้างเอง ความสกปรกของใจดวงไหนดวงนั้นต้องชำระล้างเอง ถ้าดวงใจนั้นไม่มีพื้นฐานที่จะชำระล้าง มันไม่มีอะไรเอาขึ้นมาชำระล้าง ใจดวงนั้นต้องทำความสงบเข้ามา พอใจดวงนั้นทำความสงบเข้ามา มันก็มีฐานที่ควรแก่การงาน เห็นไหม นี่ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิที่ดี สมาธิที่บริสุทธิ์ สมาธินั้นถึงจะเกิดปัญญาที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่บริสุทธิ์นั้นถึงจะทำให้เกิดวิมุตติขึ้นมาได้

แต่ถ้าปัญญานั้นไม่บริสุทธิ์ ถ้ามันเป็นปัญญาโลก มันเป็นโลกียะอยู่นี่ ความคิดนี่มันเป็นโลกียะอยู่ มันยังไม่มีฐานของสมาธิ เวลาคิดขึ้นมานี่ ไอ้กิเลสตัวนี้มันพาคิด ความเห็นก็เป็นอุปาทานพาเห็น เห็นไหม เป็นอุปาทาน เป็นความยึดมั่นถือมั่น แต่มันเป็นความเข้าใจว่าอันนี้เป็นการวิปัสสนา มันเข้าใจว่าอันนี้เป็นธรรม พอความเข้าใจว่าอันนี้เป็นธรรม มันก็ใคร่ครวญของมันออกไป แล้วมันก็สร้างภาพความเป็นไปของมันขึ้นมา

นี่ถึงว่าเป็นโลกียะ โลกียะแล้วมันก็เหมือนกับเราปัดความสกปรกของสกปรกนั้นไว้ใต้พรม มันไม่ได้ชำระล้างใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะมันปัดเข้ามาไว้ในหัวใจ แต่หัวใจน้อมไปว่าเป็นอย่างนั้น ๆ ความเห็นเป็นไป อุปาทานแก้อุปาทาน เห็นไหม เพราะมันเป็นอุปาทานอยู่แล้ว พอมันสร้างขึ้นมามันก็สร้างภาพขึ้นมา แล้วมันก็ความเวิ้งว้างขึ้นมา เพราะใจนี่เป็นสัญญาอารมณ์ออกไป นั้นโลกียะ

ถ้าโลกุตตระนี่มันต้องเป็นสมาธินี้ ถึงบอกว่าสมาธินี้เป็นฐาน เป็นสมถกรรมฐาน แล้วก็วิปัสสนากรรมฐาน ถึงว่าเป็นพื้นฐาน แล้วพยายามไม่ติดมัน การประพฤติปฏิบัติเราคนยากคนจนนี่ เวลามีเงินมีทองมันก็ติดในเงินในทองเหมือนกัน จิตมันเคยฟุ้งซ่านอยู่พอมันสงบเข้ามามันก็ติดในความสงบนั้น พอติดในความสงบนั้นมันก็ยังก้าวเดินไม่ได้ อันนี้มันเป็นการที่เราจะติดข้อง

แล้วมันต้องพยายามผ่านตรงนี้เข้าไปว่า สิ่งที่มันยังมีอยู่ มันทดสอบใจไง ถ้าเราพยายามทดสอบใจของเรา เวลาคลายออกมาจากสมาธินี่มันเป็นอย่างไร มันยังกระทบกระทั่งอารมณ์ภายนอกหรือไม่? ถ้ามันกระทบกระทั่ง นี่มันเป็นการยืนยัน เพราะมันเป็นสิ่งที่สัจจะความจริง กิเลสมันมีอยู่ในหัวใจ มันต้องมีอยู่ในหัวใจวันยังค่ำ พอกระทบนี่มันต้องมีความรู้สึก ถ้ามันกระทบความรู้สึกนี้มันต้องเป็น “ไม่ใช่” ใช่ไหม? ไม่ใช่หมายถึงว่าออกมาแล้วมันยังมีอารมณ์อย่างเก่า มันถึงต้องถ้าออกมากระทบแล้วนี่ มันเข้าใจแล้วมันปล่อยวางได้ถึงจะเป็นของจริง

ถ้ามันไม่ใช่ของจริงนี่ มันถึงต้องพยายามซ้ำตรงนั้นไง ยกกายขึ้นมาวิปัสสนาตรงนั้นตลอดไป ๆ ให้มันขาดออกไปตามความเป็นจริง เพราะจิตมันสงบแล้วมันทำได้ ถ้าจิตไม่สงบมันยกขึ้นมามันก็สักแต่ว่ายกขึ้นมา ยกขึ้นมามันก็เป็นไป มันเป็นการฝึกซ้อมเข้าไป แต่ถ้ามันเป็นความจริง หมายถึงว่ามันไม่มีมิติอย่างที่ว่านั่นน่ะ มันไม่มีมิติ มันเป็นปัจจุบันนั้น มันแยกส่วนขนาดนั้น ถึงว่าความเร็วของใจมันเร็วอยู่แล้ว

แล้วพอความเร็วของใจนี่ มันเป็นอดีตอนาคตทั้งหมด แต่ถ้าจิตมันเป็นสมาธิแล้วมันไม่เป็นอดีตอนาคต มันเป็นปัจจุบันอยู่ขณะนั้น เห็นไหม ถึงว่าเป็นปัจจุบันธรรม เพราะเห็นในปัจจุบันธรรม ถ้ายกขึ้นมาเห็นในปัจจุบันธรรม มันจะปล่อยวางได้เป็นปัจจุบันธรรม ความปล่อยวางอันนั้นมันเข้าใจ เพราะเราปล่อยวางนี่ คนที่ปล่อยวางนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต มันจะเห็นความปล่อยวางจริง

พอปล่อยวางจริงนี่ มันหลุดตรงนั้น มันเชื่อมต่อกันน่ะมันต้องสะดุด เวลามันจะเชื่อมต่อกันมันต้องมีสะดุด มันต้องรู้สึก เห็นไหม ใจนี่มันเสวยอารมณ์ มันออกมาที่ขันธ์ มันออกมาที่กายนี่ มันต้องสะดุดตรงนั้น มันสะดุดหมายถึงมีสติสัมปชัญญะพร้อม พอมันสะดุดนี่ เราออกมาข้างนอกนี่ พอมันกระทบรูปนี่มันสะดุด สะดุดคือเตือนสติ นี่มันปล่อยวางตรงนี้ไง

มันสะดุดมันคนละส่วนกันแล้ว แล้วมันจะมาต่อเชื่อมกัน ความต่อเชื่อมกันน่ะสติสัมปชัญญะเราพร้อม เราถึงพร้อมข้างนอกไง มันถึงไม่เกิดอารมณ์จากภายนอก เวลาออกมาแล้วกระทบกับสิ่งต่าง ๆ แล้วมันไม่สะเทือน ความไม่สะเทือนเพราะว่ามันขาดกันโดยธรรมชาติ พอมันจะเชื่อมต่อมันก็มีสติออกไปรับรู้ ๆ สิ่งนั้นเป็นสิ่งนั้น โลกนี้เป็นโลก จิตนี้เป็นจิต เห็นไหม โลกกับธรรมมันคนละอันกัน โลกเป็นโลก ธรรมเป็นธรรม แยกกันอยู่คนละส่วนกัน

แต่หัวใจที่รับรู้อยู่นี้มันเข้าได้ทั้งโลกและทั้งธรรม เพราะมันรู้ธรรมแล้ว รู้ธรรมแล้วนี่ออกมารับรู้เรื่องโลก เพราะว่าเรายังมีชีวิตอยู่ เรายังต้องสืบต่อ เราอยู่ในสมมุติอยู่ ความเป็นสมมุตินี้มันต้องสืบต่อ มันต้องทำงานกัน มันต้องรับรู้สิ่งต่าง ๆ ภายในโลกนี้ พอรู้ว่ารับรู้สิ่งต่าง ๆ ภายในโลกนี้ มันก็รู้เท่าทัน เห็นไหม อารมณ์ถึงไม่เกิดไง

รู้เท่าทันเพราะมันไม่เหมือนเก่า เก่าถ้าออกมากระทบแล้วนี่มันจะเกิดความรู้สึก มันเกิดอารมณ์ไปตามโลกเขา แต่ถ้ามันมีสิ่งที่สะดุด สิ่งที่สติสัมปชัญญะมันตามรู้ออกมานี่ มันรู้เหมือนกัน แต่สติพร้อมขึ้นไป มันไม่ไปตามเขา ๆ นี่รับรู้กันเรื่องของโลกเขา นี่วิปัสสนามันจะเกิดขึ้นจากตรงนี้ ถ้าเกิดตรงนี้แล้วมันถึงเป็นผลตามความเป็นจริง จะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันก็เป็นปัญญาอบรมสมาธินะ

แต่ถ้าเป็นสมาธิอบรมปัญญา มันต้องทำพื้นฐานอันนี้ขึ้นมา ถึงบอกว่าไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นความผิด แต่ถ้าไปบอกว่าสิ่งนั้นมันเป็นความถูก เขาบอกว่าถ้าอัปปนาสมาธิเราได้แล้วนี่ เราถึงว่าจะเข้าทาง ๕๐ เปอร์เซ็นต์นี่ มันเป็นการมั่นใจตรงนั้นไง แล้วพยายามจะหาตรงนั้นไง จะทำความสมาธิอย่างเดียว ๆ เข้าไปถึงสมาธินั้น แล้วค่อยยกวิปัสสนามันเสียเวลา เพราะเข้าถึงอุปจารสมาธิ ตรงนั้นน่ะเป็นที่ควรแก่การงานแล้ว

แต่ถ้าเข้าอัปปนานี่เข้าไปเพื่อพักไง พักให้จิตนั้นมีกำลัง มีกำลังแล้วถอนออกมา ถอนออกมาก็ต้องยกขึ้นวิปัสสนา มันต้องยกขึ้นวิปัสสนาสถานเดียวมันถึงชำระกิเลสได้ ถ้าไม่วิปัสสนามันจะชำระกิเลสไม่ได้เด็ดขาด ความที่ชำระกิเลสไม่ได้ เห็นไหม มันก็ทำเอา แต่ขณะที่สร้างนี่มันน่าเห็นใจตรงนี้ไง ที่พูดนี่ เห็นใจตรงที่ว่าเวลาสร้างขึ้นมาเข้าถึงอัปปนานี่ มันต้องใช้พลังงานมาก ใช้พลังงานคือเราก็ทุ่มเทไปมากไง

นี่ดูสิ จิตเราฟุ้งซ่านนะ ถ้าเราจะทำจิตเราให้สงบ เราต้องพยายามเหนี่ยวรั้งจิตเรา นี่มันเป็นการงานที่มากขนาดไหน แล้วเราเข้าใจไง เข้าใจว่าถ้าเข้าไปถึงตรงนั้นแล้วนี่ ตรงนั้นมันจะมีฐานให้มันทำการงานง่ายขึ้นไป สะดวกขึ้นไป มันง่ายขึ้นสะดวกขึ้นอยู่ที่ปัญญาของคน แต่ถ้าคนโง่มันเป็นผลลบอย่างที่ว่านั่นน่ะ ถ้าเป็นคนโง่มันจะติดว่าตรงนี้เป็นผลของมันแล้ว อันนี้เป็นผลที่เราแสวงหา แต่มันเป็นผลชั่วคราว ผลของการกดไว้ กดไว้เพื่อจะไม่ให้กิเลสมันออกมามาก กดไว้เพื่อจะให้เราวิปัสสนาได้

ถ้าปัญญาอบรมสมาธินี่มันจะไม่มีผลอย่างนี้ มันจะไม่มีความเวิ้งว้างอย่างนี้ แต่มันจะปล่อยวางต่างกัน ปล่อยวางด้วยความเข้าใจ เหมือนปล่อยวางด้วยปัญญาชน ปล่อยวางด้วยคนที่มีความเข้าใจมีความรู้ กับสมาธิอบรมปัญญานี่ มันปล่อยวางด้วยใช้อำนาจของคำบริกรรม ใช้อำนาจของสติของคำบริกรรมเข้าไป กดเข้าไปจนมันเป็นความสงบเข้ามา มันก็จะเวิ้งว้างต่างกัน มันจะเวิ้งว้าง มันจะปล่อยวางในหัวใจนะ

ทีนี้ปัญญาอบรมสมาธินี่จะถามว่าทำไมตรงนี้เราไม่มี? มันก็ไม่มีความสุขขนาดนั้น แต่มีความเข้าใจ มันปล่อยวางด้วยความเข้าใจ แล้วความผิดพลาดมันจะน้อยกว่า ความผิดพลาดหมายถึงว่า มันจะยกขึ้นวิปัสสนาเข้าไปเรื่อย ๆ เพราะมันใช้ปัญญาไตร่ตรองเข้าไปเรื่อย ๆ มันจะเข้าไปถึงจุดที่ได้วิปัสสนาเลย ถ้าเป็นสมาธิอบรมปัญญานี่บางทีมันไม่ยกขึ้น แล้วติดอยู่ตรงนั้น มันต่างกันตรงนั้น ความสุขก็ต่างกัน วิธีการก็ต่างกัน

แต่เวลาเราภาวนาเข้าไปนี่มันต้องทุ่มไปทั้งหมด เราต้องใช้ความเพียรของเราทุ่มไปทั้งหมด ทีนี้มันจะได้ผลขนาดไหน ครูบาอาจารย์เห็นใจเห็นใจตรงนี้ เห็นใจตรงการประพฤติปฏิบัติ เห็นใจการทำที่มันจะได้ ถ้าความเข้าใจของเราถูกต้อง ใจนี่ถ้ามันเกี่ยวพันตรงไหนแล้วมันจะเกาะอยู่ตรงนั้น ถ้าเข้าใจถูกต้องแล้วมันจะเข้าไป แล้วทำงานได้ตามความเป็นจริง เอวัง